วันศุกร์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2555

การดูแลรักษาเฟอร์นิเจอร์ของเราให้คงทนถาวร



Logo.jpgการดูแลรักษาเฟอร์นิเจอร์โดยทั่วไป
1.  เฟอร์นิเจอร์ไม้เนื้อแข็ง เช่น ไม้สัก ไม้เต็ง ไม้มะค่า ไม้ประดู่หรือไม้ตะเคียนทอง


โดยทั่วไปควรปฏิบัติดังต่อไปนี้
-          สำหรับเฟอร์นิเจอร์ใหม่ใช้ผ้าฝ้ายหรือผ้าขนหนูสะอาดนุ่มๆ ชุบน้ำผสมสบู่จางๆเช็ดให้สะอาดทุกซอกทุกมุมก็เพียงพอ (อย่าใช้น้ำมาก เพราะจะทำให้ผิวเป็นรอยด่าง) และหลังจากการเช็ดแล้วต้องผึ่งแล้วทิ้งไว้แห้งโดยเร็วที่สุดเสมอ แต่สำหรับเฟอร์นิเจอร์ไม้เก่าที่ต้องการดูแลเป็นพิเศษให้เช็ดด้วยผ้าฝ้ายหรือผ้าขนหนูสะอาดแบบแห้งๆเช็ดให้สะอาดทุกซอกทุกมุม หรือปัดฝุ่นด้วยไม้ขนไก่จะดีกว่า
-          ปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดเฟอร์นิเจอร์ไม้ออกมาขายด้วย ทั้งแบบสเปรย์และแบบครีม ซึ่งใช้ง่าย มีกลิ่นหอม ทั้งยังบำรุงผิวไม้ไปพร้อมกับการทำความสะอาด แต่อย่าใช้น้ำยาที่มีส่วนผสมของแอมโมเนียหรือแอลกอฮอลล์กับไม้เด็ดขาด หรืออาจใช้น้ำยาขัดเงาแบบสำเร็จรูปฉีด แล้วทิ้งให้แห้ง
-          หากมีร้อยเปื้อนมากๆให้ทำการขัดออกด้วยกระดาษทราย ทาด้วยขี้ผึ้ง แล้วขัดออกด้วยผ้าแห้ง
-          โดยทั่วไปควรหลีกเลี่ยงจุดวางที่มีแดดแรงๆ เพราะจะทำลายสีของไม้ หลังจากทำความสะอาดแล้วให้ลงน้ำมันบำรุงผิวอีกที
-          คราบสกปรกจากน้ำ (หลังจากวางแก้วน้ำบนโต๊ะไม้นานๆ) ก็เป็นปัญหากวนใจ วิธีแก้ไขคือ เช็ดน้ำให้แห้งสนิท จากนั้นใช้ผ้าสะอาดแตะมายองเนสถูลงบนรอยนั้น รอยด่างเป็นดวงๆจะจางไป และถ้าเนื้อไม้มีรอยขีดข่วน ให้ลองใช้ยาขัดรองเท้าสีใกล้เคียงกับเฟอร์นิเจอร์ทาลงบนรอยนั้น
2.      การดูแลรักษาเฟอร์นิเจอร์ไม้เนื้ออ่อน (เช่น ไม้ไผ่หรือหวาย)
โดยทั่วไปควรปฏิบัติดังต่อไปนี้
-          ใช้แปรงหรือไม้กวาดขนไก่ปัดฝุ่นออก
-          ใช้ผ้าฝ้ายหรือผ้าขนหนูสะอาดนุ่มๆ ชุบน้ำผสมสบู่จางๆเช็ดให้สะอาดทุกซอกทุกมุมก็เพียงพอ (อย่าใช้น้ำมาก เพราะจะทำให้ผิวเป็นรอยด่าง) และหลังจากการเช็ดแล้วต้องผึ่งแล้วทิ้งไว้แห้งโดยเร็วที่สุดเสมอ
-          ควรฉีดยาฆ่าแมลงเพื่อป้องกันมอด แล้วนำมาตากแดด
-          ไม่ควรนำมือที่เปียกหรือวางวัสดุที่มีความชื้นบนพื้นผิวของเฟอร์นิเจอร์ เพราะจะทำให้เกิดรอยด่าง แต่ถ้ามีรอยเปื้อนมากๆ ให้ทำการเช็ดด้วยน้ำส้มสายชูกับน้ำอุ่นให้ทั่ว แล้วขัดด้วยขี้ผึ้ง
เทคนิคการซ่อมแซมและทำสีเฟอร์นิเจอร์ไม้

            เฟอร์นิเจอร์ไม้ ถ้าหากเราทิ้งไว้นานๆ อาจจะมีเชื้อราเกิดขึ้น มีรอยแตกแยก โก่ง งอ หรือสีไม้เปลี่ยนไป ดังนั้นเมื่อสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นเราควรนำเฟอร์นิเจอร์ไม้มาซ่อมและทำสีใหม่เพื่อยืดอายุการใช้งาน โดยมีขั้นตอนหลักๆดังนี้
            1. ทำชิ้นงานให้เรียบเนียน โดยการขัดชิ้นงานด้วย
Logo.jpg1.1 กระดาษทรายเบอร์ 80-100 ก่อน
1.2 จากนั้นให้เปลี่ยนเบอร์กระดาษทรายเป็นเบอร์ 150 เพื่อให้ผิวงานเรียบขึ้น (ในการเปลี่ยนเบอร์กระดาษทราย เราควรมีการดูดฝุ่นที่เกาะที่ผิวงานออกก่อนด้วย เพราะมิฉะนั้นเศษทรายของกระดาษเบอร์เก่า อาจจะมีผลทำให้ชิ้นงานเป็นรอยได้ และในการขัดควรใช้กระดาษทรายพันกับไม้เพื่อให้กระดาษเรียบไปกับชิ้นงาน
1.3 และสุดท้ายให้เปลี่ยนเป็นกระดาษทรายเบอร์ 200-220 เพื่อเป็นการขัดครั้งสุดท้าย และหลังจากที่ผ่านการขัดกระดาษทรายเบอร์สุดท้ายแล้ว จะต้องกำจัดฝุ่นออกให้หมดโดยการใช้แปลงปัด , ผ้าเช็ด , ดูดฝุ่น หรือ ใช้ลมเป่า
            2. อุดรูร่องเสี้ยนไม้หรือเรียกว่าทำการโป๊ว โดยจะใช้ผงดินสอพองผสมน้ำ ผสมสีฝุ่น ต้องผสมให้สีใกล้เคียงกับสีผิวไม้ที่เราจะอุดด้วย และถ้าหากต้องการเพิ่มความสามารถในการยึดติดกับเนื้อไม้ให้มากขึ้น ให้ใช้น้ำมันวาร์นิช ผสมลงไปด้วยเล็กน้อย เมื่อผสมส่วนผสมได้ที่แล้วให้นำไปใส่ถุงพลาสติกแล้วรัดด้วยหนังยาง เพื่อที่เราจะได้แบ่งออกมาได้ใช้ทีละน้อย

วิธีดูแลและบำรุงรักษาเฟอร์นิเจอร์ไม้ตะเคียนทอง



          เนื่องจากไม้ตะเคียนทองเป็น วัสดุทางธรรมชาติ ดังนั้นย่อมมีการชำรุดเสียหายไปตามกาลเวลา มีปัจจัยหลายอย่างทั้งสภาพแวดล้อม แสงแดด ความชื้น และการกัดกินของแมลงหรือปลวกที่เป็นส่วนสำคัญในการทำให้เนื้อไม้ตะเคียนทองมี การชำรุดเสียหาย
         ดังนั้นจึงต้องมีการดูแลรักษาไม้ตะเคียนทองที่ถูกต้อง เพื่อให้ไม้ตะเคียนทองที่มีอายุการใช้งานยาวนาน ไม้ตะเคียนทองที่แปรรูปออกจากโรงงานไม้นั้นตอนแรกมักดูไม่มีความสวยงามสักเท่า ไหร่ การทำสีและตกแต่งพื้นผิวของเนื้อไม้ตะเคียนทองจึงมีความจำเป็นอย่างมากในสมัยก่อนช่างไม้ได้นำเอาวัสดุธรรมชาติ เช่น ขี้ผึ้งและน้ำมันจากไม้บางชนิด มาใช้ตกแต่งผิวไม้ตะเคียนทอง
         แต่ในปัจจุบันได้มีการคิดค้นวัสดุทั้งจากทางธรรมชาติ และจากการสังเคราะห์ที่ดีนำมาใช้เคลือบผิวและตกแต่งสี ทำให้เพิ่มคุณค่าทั้งความงามและสามารถทนต่อสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงบ่อยได้ ดียิ่งขึ้น ขั้นตอนในการทำและตกแต่งผิวไม้ตะเคียนทองจะต้องทำด้วยความพิถีพิถัน พื้นผิวที่รองไม้ตะเคียนทองจะต้องสะอาด ขัดผิวอย่างดี ปราศจากรอยตำหนิ ขั้นตอนการทำสีและตกแต่งผิวมีหลายแบบ ดังนี้
1.      การย้อมสีด้วยน้ำยาวู๊ดสเตน เพื่อป้องกันแสงแดด และน้ำซึมเข้าเนื้อไม้ตะเคียนทอง
2.      โดยก่อนจะทาน้ำยาต้อง
2.1 เตรียมพื้นผิวให้เรียบด้วยกระดาษทราย
2.2 นำดินสอพองมีลักษณะดินสีขาวเป็นก้อนหรือเป็นผง ผสมกับน้ำเพื่อให้นิ่มใช้อุดร่องเสี้ยนหรือลงพื้น
2.3 นำสารกันซึมหรือซีลเลอร์ ใช้เคลือบรองพื้นวัสดุที่มีรูพรุน หรือใช้เคลือบวัสดุที่อาจปล่อยสารบางประเภท ออกมาทำให้ฟิล์มของวัสดุเคลือบเสียหาย สารกันซึมถือว่าเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่แต่เดิมช่างใช้เชลแล็กเป็นตัวเคลือบผิว ฟิลเลอร์ ทำหน้าที่คล้ายดินสอพองอุดร่องไม้ตะเคียนทองและอุดรอยแตกต่างๆ สามารถผสมกับสีย้อม สีฝุ่น ดินสี เพื่อให้ได้สีตามต้องการ
3.  เมื่อเตรียมพื้นผิวได้ดีแล้วให้เลือกใช้วัสดุเคลือบผิวที่จะทำให้ไม้ตะเคียนทอง สวยงามและทนทานต่อสภาพแวดล้อมได้ เพื่อขับลายไม้ตะเคียนทอง คือ
3.1 แลกเกอร์ มีทั้งชนิดเงาและด้าน สามารถใช้งานง่าย ทนต่อสภาพอากาศทั่วไปได้เป็นอย่างดี และทนต่อการขูดขีด
3.2 เชลแล็ก เป็นน้ำยาทาไม้ตะเคียนทองชนิดหนึ่งให้ความสวยงามทนทาน
3.3 วาร์นิช หรือน้ำมันชักเงา ใช้ทาชิ้นงานไม้ตะเคียนทองเพื่อให้เกิดความเงางาม ใส สวยงาม มักใช้กับเฟอร์นิเจอร์ไม้ตะเคียนทอง เครื่องเรือนไม้ตะเคียนทอง
3.4 แต่ถ้าไม่ชอบให้ดูเป็นฟิล์มเคลือบก็ใช้น้ำมันบำรุงรักษาผิว เช่น Teak Oil หรือ Oil Stain ที่เหมือนเป็นโลชั่นสำหรับไม้ แต่ต้องทาเป็นระยะๆ (ทุก 3 เดือน)
4.      เมื่อทาน้ำยาชนิดต่างๆ จนเสร็จเรียบร้อยแล้ว ควรที่จะนำไม้ตะเคียนทองไปตากแดดให้แห้งสนิท เพื่อช่วยเพิ่มความมันวาวและความแข็งแรงทนทานของเนื้อไม้
ธีดูแลและบำรุงรักษาเฟอร์นิเจอร์ไม้สัก


                เฟอร์นิเจอร์ไม้สัก เมื่อผ่านการใช้งานไปนานๆก็อาจจะเกิดรอยขูดขีด และคราบเปรอะเปื้อนต่างๆ ทำให้เนื้อไม้เฟอร์นิเจอร์ของเราไม่สวยเงางามอย่างเคย ดังนั้นเราจึงต้องหมั่นดูแลบำรุงรักษาเฟอร์นิเจอร์ไม้สักสวยงามอยู่ตลอดเวลา โดยวิธีบำรุงรักษาเฟอร์นิเจอร์ไม้สัก มีดังนี้
            1. กรณีที่เลอะคราบไขมันหรือหมึก
กรณีเป็นคราบไม่มากให้ใช้กระดาษซับแบบหนาวางทับเหนือรอยคราบเท่านั้น จากนั้นใช้เตารีดที่มีไฟปานกลางนาบซ้ำกันหลายๆ หน จนกว่ารอยนั้นจะหายไปหรือจะใช้ผ้าหรือสำลีชุบน้ำมันการบูรถูก็ได้
หากกรณีที่มีคราบจำนวนมากให้ผสมน้ำส้มสายชูปริมาณ 2 ช้อนโต๊ะ กับน้ำ 1 ช้อนโต๊ะ แล้วนำผ้าสะอาดชุบน้ำที่ผสมกับน้ำส้มสายชูและเช็ดลงไปตรงรอยเปื้อน แล้วจึงล้างน้ำออกให้หมด จากนั้นก็นำไปตากให้แห้ง แล้วก็นำเฟอร์นิเจอร์ไม้นั้นมาขัดเงาตามปกติ         
            2. กรณีเกิดคราบจากน้ำตาเทียนบนเฟอร์นิเจอร์ไม้
เพื่อลบรอยเทียนไขออกให้ใช้สันมีดขูดน้ำตาเทียนออกเบาๆหลังจากนั้นก็ให้ขัดเงาด้วยผ้าชาร์มัวร์
            3. กรณีที่เฟอร์นิเจอร์ไม้สักของเราเป็นรูจากหนอนไม้
ให้ใช้มีดปลายแหลมแทงลงไปที่รูที่เกิดจากหนอนไม้ เวลาแทงมีดลงไปให้หันคมมีดให้อยู่ในทิศเดียวกันกับแนวของเนื้อไม้ด้วย หลังจากที่แทงมีดลงไปแล้วให้หมุนปลายมีดเพื่อที่ทำลายรูที่เกิดจากหนอนไม้นั้น หลังจากนั้นก็ให้นำขี้ผึ้งมาผสมกับผงของเนื้อไม้ แล้วอัดลงไปที่รูนั้นให้แน่น
            4. กรณีที่เฟอร์นิเจอร์ไม้มีรอยแตก รอยแยก
ให้ใช้กระดาษหนังสือพิมพ์เก่า นำมาชุบน้ำจนชุ่มแล้วก็นำไปอัดตรงรอยแตกนั้นแล้วนำเตารีดร้อนๆมารีดตรงบริเวณดังกล่าว หลังจากนั้นใยไม้ที่ถูกกดจะขยายกลับคืนสู่สภาพเดิม หลังจากนั้นก็ให้ขัดเงาได้ตามปกติ
            5. กรณีเฟอร์นิเจอร์ไม้สักมีรอยขีดข่วน
ให้ใช้เศษผ้าแตะน้ำยาที่ใช้เช็ดรองเท้า (ควรให้มีสีใกล้เคียงกับสีเดิมของไม้) หรือใช้ผ้าสะอาดชุบน้ำมันชักเงาถู แล้วก็ถูตรงรอยขีดข่วนเหล่านั้นให้หมด หลังจากนั้นก็ให้ใช้ผ้าแห้งขัดออกอีกครั้งหนึ่ง
6.กรณีเฟอร์นิเจอร์ไม้สักเกิดเป็นรอยด่างขาว
สามารถแก้ไขได้หลายวิธีดังนี้
                        6.1 ให้เอาน้ำมันการบูร มาถูตรงจุดที่เป็นรอยด่างขาว
                        6.2 ใช้น้ำยาขัดเครื่องเงินเช็ดออก (ห้ามนำน้ำยาขัดเงาที่ใช้กับโลหะมาใช้กับเนื้อไม้สักเป็นอันขาด)
                        6.3 ให้นำขี้บุหรี่มาผสมกับน้ำมันมะกอก แล้วก็ขัดเงาตรงจุดที่เป็นรอยด่างขาว
7.กรณีเฟอร์นิเจอร์ไม้สักเป็นรอยแตก
ให้นำขี้เลื่อยไม้มาผสมกับกาว แล้วมาอุดบริเวณที่เนื้อไม้แตก
8. กรณีเฟอร์นิเจอร์ไม้สักเป็นคราบเปื้อนจากสี
ถ้าสียังไม่แห้งก็แก้ไขเหมือนรอยขีดข่วน แต่ถ้าแห้งแล้วให้ใช้น้ำมันสนชโลมบริเวณคราบนั้นจนกว่าคราบสีจะอ่อนตัวและหลุดไป จากนั้นใช้น้ำมันชักเงาถูให้สะอาด

ทั้งนี้การดูแลเฟอร์นิเจอร์ไม้สักต้องอาศัยความพิถีพิถันในการเอาใจใส่หมั่นเช็ดถูทำความสะอาดและคอยตรวจสอบความผิดปกติหรือรอยคราบต่างๆ ในทันที เพื่อที่จะได้ทำการแก้ไขให้เฟอร์นิเจอร์ไม้สักของคุณสามารถใช้งานได้ตามปกติ มีความสวยงามคงทนคู่บ้านของคุณอย่าง 

                                                                 บทความจาก พีอาร์เฟอร์นิเจอร์สยาม